เหล็กรูปพรรณ (Steel) กับคุณสมบัติที่ควรรู้

เหล็กรูปพรรณ (Steel) ที่ใช้ในงานสถาปัตยกรรมในปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆก็คือ เหล็กรูปพรรณรีดร้อน และ เหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็น ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะที่ต่างกัน ดังนี้


เหล็กรูปพรรณรีดร้อน
     คือ เหล็กที่มีการรีด ตอนที่เหล็กยังมีอุณหภูมิสูงประมาณ 1,200 องศา เพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ เช่น เหล็ก H-Bean, I-Beam, Channel ซึ่งในการรีดเหล็กในขณะที่มีอุณหภูมิ
สูงนี้ เป็นกรรมวิธีที่ให้ความร้อนแก่เหล็กและทำให้เหล็กเย็นตัวลงเป็นลำดับ เพื่อลดความเครียดในเนื้อเหล็กและทำให้ผลึกเหล็กมีความละเอียดมากขึ้น ซึ่งทำให้เหล็กมีกำลังและความเหนียวสูงขึ้น ซึ่งสามารถรีดเหล็กที่มีความหนาที่มากๆได้ ส่งผลให้เมื่อมีการนำไปออกแบบใช้งาน จะสามารถใช้งานได้หลากหลาย

ประเภทการใช้งานของเหล็กรูปพรรณรีดร้อน

มักนิยมใช้กันมากในงานโครงสร้างสถาปัตยกรรม และงานสาธารณูปโภคต่างๆ ก็คือ เหล็ก H-Bean, I-Beam, Channel ,Cut beam ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเหล็กรูปพรรณรีดร้อน


เหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็น​
     คือ เป็นการขึ้นรูปจากเหล็กแผ่นที่มีอุณหภูมิปกติ โดยเป็นการพับ แผ่นเหล็กและเชื่อมให้กลายเป็น เหล็กกล่อง เหล็กท่อกลม หรือนำแผ่นเหล็กมาพับเป็นตัว Z ซึ่งการนำเหล็กแผ่นมาพับหรือม้วนนั้น จะต้องมีการเชื่อมเหล็กเข้าด้วยกัน และต้องมีการตรวจสอบรอยเชื่อมดังกล่าว จัดเป็นกรรมวิธีที่ทำให้เกิด strain-hardening ในเหล็ก และทำให้เหล็กมีกำลังและความแข็งของผิวต่อการกดสูงขึ้นมากกว่าเหล็กรูปพรรณรีดร้อน แต่จะมีผลทำให้ความเหนียวของเหล็กลดลง

ประเภทการใช้งานของเหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็น​

มักนิยมใช้กันมากในงานตกแต่งสถาปัตยกรรม เช่น เหล็กกล่อง ,เหล็กท่อกลม ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเหล็กรูปพรรณรูปเย็น​


ข้อดีของเหล็กรูปพรรณ
1. มีกำลังต่อน้ำหนักสูง เหมาะในการก่อสร้างอาคารที่มีระยะช่วงที่ยาวมากๆ และอาคารสูง
2. มีสมบัติทางกลสม่ำเสมอ สามารถออกแบบงานสถาปัตยกรรมได้หลากหลาย เช่น ดัดโค้ง ทำโครงสร้างโปร่ง หรือทำส่วนยื่นได้มาก
3. มีความยืดหยุ่นสูง ลดการเสียรูปอย่างถาวร
4. มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ถ้าดูแลเหมาะสมและถูกต้อง
5. มีความเหนียว เปลี่ยนแปลงรููปร่างที่สูงก่อนการวิบัติ
6. ก่อสร้างได้ง่าย และรวดเร็ว
7. ก่อสร้างในที่จำกัดได้สะดวก ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะผุ่น
8. สามารถรับแรงสั่นสะเทือนและแผ่นดินไหวได้ดีกว่าโครงสร้างระบบอื่น
9. ดัดแปลง ต่อเติม หรือรื้อไปสร้างใหม่ได้ ไม่ต้องทุบทิ้ง
10. สามารถนำวัสดุมาหมุนเวียนได้ 100%

ข้อเสียของเหล็กรูปพรรณ

1. มีค่าดูแลรักษาสูง หากออกแบบไม่เหมาะสมกับการใช้งาน

2. มีค่าใช้จ่ายในการพ่นกันไฟ กำลังของเหล็กค่าลดลงมากในกรณีที่เกิดไฟไหม้และเหล็กเป็นสื่อนำความร้อนได้ดี

3. เกิดการโก่งเดาะได้ง่าย ในองค์อาคารเหล็กที่รับแรงกดอัดและมีความชะลูดสูง เนื่องจากเหล็กมีกำลังที่ค่อนข้างสูง

4. อาจวิบัติโดยการล้า หากออกแบบไม่เหมาะสมและถูกใช้งานในที่อุณหภูมิต่ำและถูกแรงกระทำซ้ำ

5. อาจวิบัติโดยการแตกหักแบบเปราะ เมื่อโครงสร้างเหล็กอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำมากๆ

เหล็กรูปพรรณรีดร้อน กับการออกแบบอาคารระดับ LEED Certificate

นอกจากเทรนด์การออกแบบรักษ์โลกอย่าง Green Architecture และ Sustainable Architecture ที่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอาคารนี้เป็นอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ในโลกเรายังมี LEED Certificate ไว้รับรองว่าอาคารนั้นๆ ได้มาตรฐานอาคารสีเขียวจริง ตามที่อวดอ้างหรือเปล่า


ปัจจุบัน มีองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมของต่างชาติมากมายได้กำหนดมาตรฐาน และหลักเกณฑ์ในการประเมินอาคารขึ้นมา เพื่อใช้ในการประเมินอาคารสีเขียว เช่น ในประเทศอังกฤษ มีมาตรฐานอาคารสีเขียวที่เรียกว่า BREEAM (Building Research Establishment’s Environment Assessment Method) หรือในสหรัฐอเมริกา มีหน่วยงาน USGBC (The U.S. Green Building Council) ที่ได้พัฒนาแบบประเมินอาคารที่เรียกว่า LEED (Leadership in Energy & Environmental Design) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดสำหรับอาคารสีเขียวในระดับโลก และสำหรับประเทศไทย กระทรวงพลังงานและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านสถาปนิกทั่วประเทศ ได้ร่วมมือกันออกแบบวิธีประเมินอาคารสีเขียวในชื่อ TEEAM (Thailand Energy and Environmental Assessment Method)


แต่การจะได้ใบรับรอง LEED นั้น ต้องผ่านเกณฑ์การให้คะแนนทั้ง 6 ข้อ ซึ่งมีทั้งหมด 69 คะแนน จากนั้นจึงแบ่งลำดับการจัดคะแนนได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้ Certified 26-32 คะแนน , Silver 33-38 คะแนน , Gold 39-51 คะแนน และ Platinum 52-69 คะแนน


1 Sustainable Site หรือ ที่ตั้งโครงการ (14 คะแนน)

ที่ตั้งโครงการที่ดีจะต้องไม่ลุกล้ำพื้นที่ทางธรรมชาติ นอกจากนี้การให้คะแนนในหัวข้อนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับการพยายามรักษาหน้าดินเดิมการป้องกันการกัดกร่อนของหน้าดิน การจัดการระบบระบายน้ำฝน การลดมลภาวะทางด้านแสงสว่างรบกวนสู่สภาพแวดล้อมข้างเคียงในเวลากลางคืน การเลือกสถานที่ตั้งที่การคมนาคมขนส่งมวลชนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อประหยัดพลังงานจากการใช้น้ำมัน หรือรถยนต์ส่วนตัว การมีพื้นที่สีเขียวเพื่อลดภาวะเกาะร้อน (Heat Island)

2 Water Efficiency หรือ การจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ (5 คะแนน)

เน้นการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมที่ไม่สิ้นเปลืองน้ำเพื่อการบำรุงรักษาต้นไม้ ซึ่งยังรวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการบำบัดน้ำเสียจากโครงการ

3 Energy and Atmosphere หรือ การใช้พลังงานและระบบอาคาร (17 คะแนน)

เน้นการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการนำพลังงานทดแทนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยตัวอาคารจะมีการวางระบบและตรวจสอบสภาพอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการตรวจวัดการใช้พลังงานของอาคาร (Measurement & Verification) นอกจากการออกแบบอาคารให้มีประสิทธิภาพแลัว หัวข้อนี้ยังจัดให้คะแนนแก่การออกแบบที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย


4 Material and Resources หรือ วัสดุก่อสร้างอาคาร (13 คะแนน)

เน้นการใช้วัสดุก่อสร้างอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในการใช้งาน วัสดุนั้นต้องช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานและสามารถรีไซเคิลได้เมื่อไม่ใช้งานแล้ว

ซึ่งเหล็กรูปพรรณรีดร้อน เป็นวัสดุที่สามารถช่วยเพิ่มคะแนนในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเหล็กรูปพรรณรีดร้อนนั้นเป็นวัสดุที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย สามารถรีไซเคิลได้เกือบ 100% นั่นเอง


5 Indoor Environmental Quality หรือ สภาพแวดล้อมภายในอาคาร (15 คะแนน)

เน้นที่การออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการให้อาคารมีสภาวะแวดล้อมภายในที่น่าสบาย ปลอดสารพิษ โดยวิธีการใช้วัสดุก่อสร้างและตกแต่งอาคารที่เหมาะสม การจัดให้มีการระบายอากาศที่เพียงพอ การได้รับแสงสว่างธรรมชาติ รวมถึงการจัดการบริหารอาคารและการทำความสะอาดอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ


6 Innovative and Design Process หรือ นวัตกรรมและความสร้างสรรค์ (5 คะแนน)

เป็นเกณฑ์การให้คะแนนเพิ่มเติมนอกเหนือจากมาตรฐาน 5 ข้อข้างต้น โดยจะเน้นที่งานการออกแบบที่ผู้ออกแบบอาคารสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็นนวัตกรรม เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

CR.WAZZADU
CR.hbeamconnect

 โรงงานผลิต จำหน่าย ประตูม้วน ทุกระบบ ด้วยประสบการณ์ความชำนาญนานกว่า 20 ปี แผ่นหลังคารีดลอน เหล็กรูปพรรณ สแตนเลส วัสดุงานโครงสร้าง และอื่น ๆ

แบ่งปันสิ่งนี้
0Shares